เทคนิคด้านความงามในอดีตที่ปัจจุบันถูกมองว่าแปลก

” ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ” เป็นการเปรียบเทียบเรื่องความสวยความงาม และการแต่งตัวให้ดูดี โดยเฉพาะกับผู้หญิงจนทำให้มีคำกล่าวอีกว่า ” ผู้หญิงอย่าหยุดสวย ” หากพูดเรื่องความสวยความงามอันนี้ต้องบอกเลยว่ามีมาอย่างช้านานแล้ว โดยที่ในแต่ละยุคก็จะมีความนิยมที่แตกต่างกันไป ยิ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีถูกพัฒนาไปไกลกว่าอดีตมากจึงทำให้เรามีผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ถูกคิดค้นออกมาอย่างมากมาย และในทางกลับกันสิ่งที่เคยได้รับความนิยมในอดีตก็ถูกมองว่ามันเป็นเรื่องแปลกไปตามกาลเวลา

วันนี้ เบาสมอง จะพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปเพื่อดูว่าในอดีตสาว ๆ จากทั่วโลกเขามีวิธีการเสริมความงามอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ และข้อมูลเหล่านี้มันไม่มีสอนในห้องเรียนอย่างแน่นอน ถ้าพร้อมแล้วเราลองไปอ่านกันดู

1. เครื่องสำอางสีแดงที่ทำจากแมลงปีกแข็งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในสมัยโบราณ (และแมลงเหล่านั้นก็อาจยังคงใช้ในลิปสติกบางชนิดในปัจจุบัน)

ชาวอียิปต์โบราณทาปากเพื่อแสดงสถานะ และเป็นการเสริมความงาม ว่ากันว่า ” พระนางคลีโอพัตรา ” ใช้มดหรือแมลงปีกแข็งสีแดงสด มาบดละเอียดเพื่อทำเป็นสีแดงสำหรับทาปาก แต่อาจต้องมีส่วนผสมอื่นเพิ่มเข้าไปด้วย คุณอาจจะคิดบ้าหรือเปล่าที่เอาแมลงมาทำแบบนี้ แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าในปัจจุบันลิปสติกบางชนิดก็ยังคงใช้แมลงพวกนั้นอยู่ด้วย อีกทั้งยังมีการใช้แมลงใช้อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม และอาหารด้วยนะ

2. ในอดีตของญี่ปุ่นการมีฟันสีดำหมายความว่า คุณเป็นคนสวยได้รับความเคารพ เป็นผู้ใหญ่ และซื่อสัตย์

ร่องรอยของฟันดำสามารถเห็นได้บนกระดูกที่ฝังในญี่ปุ่นในช่วงยุคโคฟุง (250 ถึง 538 AD) ระหว่างศตวรรษที่ 3 ถึง 6 การทาฟันดำเช่นนี้ถูกเรียกว่า ” Ohaguro ”  ซึ่งจะนิยมทำกันในกลุ่มขุนนาง โดยใช้สีย้อมฟันจากส่วนผสมของผงเหล็ก น้ำส้มสายชู ชา และเหล้าจากข้าว หลายคนพยายามอธิบายถึงสาเหตุ ซึ่งในบางกรณีก็หมายถึงการแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงมีอายุมากขึ้น ในบางกรณีก็บอกว่าเพื่อบ่งชี้ว่าเธอแต่งงานแล้วหรือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าเป็นวิธีการป้องกันฟันผุ ในขณะที่นักประวัติศาสตร์บางคนอ้างว่าการทาฟันเป็นวิธีที่ทำให้ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วดูไม่น่าสนใจ แต่ก็มีนักวิชาการหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้

3. ผู้หญิงญี่ปุ่นค้นพบว่าอุจจาระของนกไนติงเกลสามารถบำรุงผิวได้ (และผลิตภัณฑ์นี้ยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน!)

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ผู้หญิงญี่ปุ่นใช้รำข้าวผสมกับอุจจาระของนกไนติงเกล (เรียกว่าอูกุยสุในประเทศญี่ปุ่น) เพื่อทำให้ผิวของพวกดูขาวจนซีด วิธีคิดนี้เริ่มมาจากชาวเกาหลีซึ่งเป็นที่รู้กันว่าใช้มูลนกเพื่อขจัดคราบสกปรกออกจากชุดกิโมโนของพวกเขา

คุณอาจพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องงี่เง่าเล็กน้อยอาจจะน่าขยะแขยงด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าในกรณีใดคุณควรรู้ว่ามีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์บางอย่างที่จะสนับสนุนแนวทางปฏิบัตินี้ มูลนกมียูเรียซึ่งเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ทรงพลัง และยังมีอยู่ในปัสสาวะ และเหงื่อของมนุษย์ ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ความงามอีกด้วย

4. สตรีผู้สูงศักดิ์ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา หรือ เรอแนซ็องส์ของยุโรป จะดูแตกต่างจากคนอื่น ๆ ตรงที่สวมรองเท้าส้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ

ในช่วงศตวรรษที่ 15 และ16 ผู้หญิงอิตาลีที่อยู่ในสังคมชั้นสูงพยายามที่จะแยกตัวเองออกจากหญิงสาวทั่วไปด้วยการสวมใส่รองเท้าสูงมาก เรียกว่า ” chopines ” มีคำอธิบายประการหนึ่งสำหรับการนำเทรนด์แฟชั่นที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาใช้ คือ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ชุดของขุนนางลากไปตามถนนและพื้นสกปรกของเมืองขณะที่พวกเขาเดิน จากนั้นกระแสนิยมนี้ก็ได้แพร่กระจายไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรปอย่างรวดเร็ว

5. วิกผมขนาดใหญ่ที่ยึดด้วยน้ำมันหมูเป็นเครื่องประดับที่หรูหรามากในศตวรรษที่ 18

ในราชสำนักฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 18 มีช่วงเวลาหนึ่งที่สาว ๆ ต้องสวมวิกผมทรงมหึมาเพื่อให้ดูสง่างาม พวกเขาจะประดับประดาด้วย ดอกไม้ อัญมณี และริบบิ้น โดยวิกขนาดใหญ่นี้จะถูกยึดติดรวมไว้กับผมจริง และมีน้ำมันเป็นตัวช่วยประสาน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เวลาที่พวกเธอนั้นอาจทำให้มีหนู หรือสัตว์อื่น ๆ แอบเข้าซุกซ่อนในผมได้ จึงเป็นที่มาของสำนวน ” ผมของคุณดูเหมือนรังหนู ”

6. ในศตวรรษที่ 19 เสื้อผ้าและสิ่งของอื่น ๆ ถูกย้อมด้วยสีที่มีสูตรยาพิษ

ในยุโรปศตวรรษที่ 19 คำว่า “เหยื่อแฟชั่น” มีความหมายตามตัวอักษร สีเขียวที่เรียกว่า Paris green หรือ Scheele green ได้รับความนิยมอย่างมากในการย้อมผ้า ริบบิ้น ดอกไม้ประดิษฐ์ หมวก วอลล์เปเปอร์ และสิ่งของทั่วไปอื่น ๆ ที่ผู้คนใช้กันทุกวัน อย่างไรก็ตามสีย้อมนี้ทำด้วยสารหนูซึ่งเป็นสารที่มีพิษร้ายแรง จนกระทั้งก่อนสิ้นศตวรรษหลายประเทศได้มีการสั่งห้ามสารเหล่านี้กับสิ่งของเครื่องใช้

7. เครื่องมือลดคางมีความเชื่อว่าจะช่วยฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ที่สูญเสียไปได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

เครื่องลดคางถูกนำมาใช้ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีการโฆษณาคุณสมบัติโดยพ่อค้าชาวนิวยอร์ก แต่ดูเหมือนเครื่องมือทรมานตัวเองมากกว่า สิ่งอื่นใดและแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็เป็นที่นิยมอย่างมาก โดยอ้างว่าสามารถกำจัดคางสองชั้นและทำให้ผู้หญิงกลับมามี ” ความสดใสของวัยหนุ่มสาวอีกครั้ง ”

Pascale Day ผู้สนับสนุนเว็บไซต์ความงามของอังกฤษ So Feminine ได้ทดสอบผลิตภัณฑ์ และได้รับคำตอบว่าคางสองชั้นจะลดลงเมื่อใช้อุปกรณ์นี้… แต่ผลจะคงอยู่เพียงไม่กี่วัน ” มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้คงอยู่ถาวร แต่เป็นสิ่งที่ทำเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกไปเที่ยวกลางคืน “

เป็นอย่างไรบ้างกับเทคนิคการเสริมความงามในอดีต มันอาจจะดูแปลกในวันนี้ และเชื่อได้เลยว่านวัตกรรมด้านความงามที่ไฮเทคที่สุดในทุกวันนี้เมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะดูแปลกเหมือนกัน

เรียบเรียงโดย เบาสมอง